ถ้าต้องให้นับงานศิลปะแต่ละชิ้นทั้งหมดในโลกนี้คงไม่อาจนับได้โดยใช้เพียงสองมือ เพราะงานศิลปะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่โลกมีมนุษย์กลุ่มแรกแล้ว และพวกเขาก็ได้สร้างงานศิลปะขึ้นมาเพื่อใช้ในการบอกเล่าและสอนมนุษย์รุ่นต่อ ๆ ไป เช่น ภาพวาดผู้คน และฝูงสัตว์ในถ้ำ ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ
ต่อมามนุษย์ก็เริ่มให้คุณค่ากับงานศิลปะมากขึ้นและยังคงสร้างสรรค์ศิลปะออกมาอยู่ตลอด นานกว่า 5,000 ปีนับตั้งแต่มีอารยธรรมมนุษย์ คิดดูสิว่ามีผลงานศิลปะเยอะมากแค่ไหน ?! แถมแต่ละชิ้นงานยังมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป
ฉะนั้นการแบ่งประเภทงานไว้ก็จะช่วยให้การดูแลและการศึกษางานศิลปะง่ายขึ้นนั่นเอง
งานศิลปะแบ่งเป็นหมวดใหญ่ ๆ ได้อยู่ 2 ประเภท ก็คือ
วิจิตรศิลป์
ประยุกต์ศิลป์
โดยทั้งสองแบบจะมีเกณฑ์การแบ่งหมวดที่ต่างกัน แล้วแต่ละแบบมีอะไรบ้างนะ ไปอ่านกันต่อเลย !
วิจิตรศิลป์ หรือ Fine Art
ชื่อก็บอกแล้วว่า Fine แปลว่า ดูดี, งดงาม หรือสวยงามก็ได้ ซึ่งงานประเภทนี้จะเป็นศิลปะที่ผู้สร้างสรรค์จะใส่อารมณ์ และความรู้สึกลงไปในงานชั้นนั้น ๆ ให้สามารถสื่อถึงอารมณ์ที่ผู้สร้างต้องการบอกได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปกับงานนั้นด้วยได้นั้นเอง
โดยงานเหล่านี้ปรากฏให้เห็นได้ทุกยุคสมัย และส่วนใหญ่วิจิตรศิลป์จะถูกนำเสนอด้วยภาพบุคคล เทพปกรณัม หรือการใช้ชีวิตธรรมดา ๆ เช่น รูปวาดของกษัตริย์ยุคต่าง ๆ รูปปั้นเทพโรมัน หรือสถานที่ทางศาสนาเองด้วย
และงานประเภทนี้จะมีอยู่ด้วยกันหลายลักษณะ โดยวิจิตรศิลป์จะถูกแบ่งประเภทออกไปได้ ดังนี้
1.จิตรกรรม เช่น รูปภาพโมนาลิซ่า
2.ประติมากรรม เช่น รูปปั่นพระแม่มาเรีย ปิเอตา
The Madonna della Pietà original file by Stanislav Traykov
3.สถาปัตยกรรม เช่น โบสถ์นอทเทอร์ดัม
Images: Notre Dame Cathedral by Richard Gonzales
5.สื่อผสม เช่น Fountain หรือโถฉี่ศิลป์ ปี ค.ศ. 1917
6.ภาพถ่าย เช่น ภาพถ่ายแลบลิ้นของไอน์สไตน์
ประยุกต์ศิลป์ หรือ Applied Art
ก็คือการนำวิจิตรศิลป์มาประยุกต์เข้ากับการใช้ชีวิตของพวกเรามากขึ้น โดยเน้นการใช้งานเป็นหลัก และตอบสนองการใช้ชีวิตและสิ่งที่ร่างกายต้องการ เช่น การแต่งตัว การใช้ภาชนะต่าง ๆ หรือการโฆษณาเองก็สามารถนำศิลปะมาใช้ด้วยนั่นเอง
โดยงานศิลป์แบบประยุกต์ศิลป์ จะนำไปใช้ในแขนงต่าง ๆ แบ่งออกเป็น ดังนี้
1. พาณิชยศิลป์
ศิลปะเพื่อประโยชน์ทางการค้า เช่น การโฆษณาสินค้าต่าง ๆ
2.มัณฑนศิลป์
ศิลปะแห่งการตกแต่ง เช่น การออกแบบห้องนั่งเล่น หรือภายในตัวบ้าน การออกแบบนิทรรศการ เป็นต้น
3.อุตสาหกรรมศิลป์
หรือศิลปะด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น ออกแบบกล่องคุกกี้ หรือออกแบบถุงใส่แก้วกาแฟ
4.หัตถศิลป์
ศิลปะที่ใช้ฝีมือ เช่น การเย็บตุ๊กตา ออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้า หรือหุ่นกระบอกไม้ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ก็คือประเภทงานศิลป์ทั้ง 2 ประเภท ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และต่างมีความสำคัญแตกต่างกัน ซึ่งปัจจุบัน งานศิลปะประเภทเหล่านี้ก็ยังถูกผลิตออกมาอยู่เรื่อย ๆ มีรูปแบบหลากหลายตามจินตนาการของผู้สร้าง
จะเห็นได้ว่างานศิลป์เองก็เป็นอีกสิ่งที่อยู่กับพวกเราในทุกยุคสมัย หรือเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา และมันไม่ได้ให้แค่ความสุนทรีและบันเทิงใจ แต่ยังให้เราได้ฝึกสมาธิ ฝึกคิดเรื่องราวผ่านผลงานศิลปะ และได้มุมมองใหม่ ๆ อีกทั้งยังสามารถเอาไปใช้ในการทำงาน และต่อยอดอาชีพในอนาคตได้ด้วยนะ
Comments